นอนไม่หลับ ตื่นแล้วก้ไม่ยอมหลับต่อ… ฝังเข็มช่วยได้ !!
ในปัจจุบันอาการนอนไม่หลับเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยทำงานและผู้สูง อายุ ซึ่งอาการของอาการนอนไม่หลับ คือไม่สามารถนอนหลับได้เป็นปกติ ระยะเวลาในการนอนหลับ น้อยกว่าปกติ (โดยทั่วไปน้อยกว่า 4-6 ชั่วโมง)
อาการหลับแล้วตื่นง่าย หรือหลับๆ ตื่นๆ ฝันมาก ตื่นขึ้นมาแล้วหลับยาก (ตื่นกลางดึกมากกว่า 2 ครั้ง หรือ ตื่นก่อนฟ้าสางแล้วนอนต่อไม่ได้) แบ่งได้หลายประเภท
Initial insomnia คือ ภาวะที่มีปัญหานอนหลับยาก ใช้เวลาเวลานอนนานกว่าจะหลับ ร่วมกับมีอาการวิตกกังวลก
Maintenance insomnia คือ ภาวะที่ไม่สามารถนอนหลับได้ยามีการตื่นกลางดึกบ่อย อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาทางกาย เช่นภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น และความเครียดสะสมเรื้อรัง
Terminal insomnia คือ ภาวะที่ตื่นเร็วกว่าเวลาที่ควรจะตื่นอาจพบได้ในผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า
การดูแลอาการนอนไม่หลับ มีแนวทางในการรักษา 2 วิธี ได้แก่ การดูแลโดยแพทย์หรือการใช้ยา และการดูแลโดยไม่ต้องใช้ยา
การดูแลโดยการใช้ยาทางแผนปัจจุบัน
จะสั่งยาโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อเพิ่มระดับฮอร์โมนเมลาโทนิน หรือรักษาอาการทางจิต ช่วยผ่อนคลายและลดอาการวิตกกังวล ทำให้นอนหลับง่ายและหลับสนิท แม้ยานอนหลับจะช่วยให้เรานอนหลับง่ายขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายานอนหลับมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อยู่มากเช่นกัน และถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ จึงทำให้ต้องใช้ยาต่อเนื่อง
การดูแลแบบแพทย์แผนจีนด้วยการฝังเข็ม
อาการนอนไม่หลับเป็นเป็นการนำเอาศาสตร์โบราณของชาวจีนมาผสานเข้ากับความรู้ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยมีผลทางวิทยาศาสตร์และการวิจัยรองรับ และเป็นที่ยอมรับจากองค์การอนามัยโลกว่าการฝังเข็มจะช่วยให้อาการป่วยหรือโรคที่เป็นอยู่จะค่อยๆ ดีขึ้น
เนื่องจากอาการนอนไม่หลับมีอาการและสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป การรักษาทางแพทย์แผนจีนนั้น จะดูแลตามอาการแต่ละบุคคล เป็นการปรับสมดุลฮอร์โมนและสารสื่อประสาทต่างๆในร่างกายให้กลับเข้าสู่สภาวะสมดุล
ซึ่งสมดุลในร่างกายแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป จึงเป็นจุดเด่นของแพทย์แผนจีนที่สามารถดูแลถึงต้นกำเนิดของปัญหา ไม่ใช่แค่การแก้ไขที่ปลายเหตุ จึงเป็นการดูแลที่ยั่งยืนและปลอดภัย
การดูแลด้วยการฝังเข็มจะเลือกจุดที่สอดคล้องกับอาการของที่นอนไม่หลับ หลัง จากฝังเข็มปรับสมดุลฮอร์โมนร่างกายประมาณ 30-40 นาที หลังจากนั้นจึงถอนเข็ม แนะนำให้ทำการฝังเข็มอย่างต่อเนื่อง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ต่อเนื่อง 8-10 ครั้ง โดยระยะเวลาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะของอาการนอนไม่หลับครับ
Category Archives: บทความ
บทความ
ประโยชน์ของการฝังเข็มกระตุ้นศีรษะ มีอะไรบ้าง?
ข้อดีของการฝังเข็มกระตุ้นศีรษะ
ดูแลปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลดอาการปวดศีรษะไมเกรน ลดความเครียด วิตกกังวล
ช่วยให้การพักผ่อนดีขึ้น หลับง่ายขึ้น
ลดความเจ็บปวดให้จุดต่างๆ ตามร่างกายได้
ลดปัญหาผมร่วงในผู้ที่หนังศีรษะมัน
ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดของรากผม
ช่วยกระตุ้นรากผมให้แข็งแรงขึ้น
ช่วยปรับสมดุลระบบประสาท ลดอาการเกร็ง และอาการกระตุก
นอกจากนี้ การฝังเข็มยังช่วยปรับสมดุลของพลังงาน และธาตุต่างๆ ภายในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายกลับสู่สมดุลโดยธรรมชาติ เป็นอีกหนึ่งวิธีทางลือกเพื่อลดการใช้ยาแพทย์แผนปัจจุบัน และทำให้อวัยวะภายในกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้
เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำ ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนอะไรบ้าง ? และสามารถรักษาด้วยวิธีการฝังเข็มได้หรือไม่ ?
อาการภูมิคุ้มกันต่ำ หรือ ภูมิตก คือ การที่ร่างกายกำลังส่งสัญญาณว่าเรากำลังอ่อนแอ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว และผู้ที่อยู่ในความเสี่ยงจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ทะนุถนอมร่างกาย เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่, ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ, ผู้ที่มีความเครียดสะสม, พักผ่อนน้อย, หรือจากปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพอากาศ, ฝุ่นควันต่างๆ ล้วนส่งผลกระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการภูมิตกได้ง่าย
สัญญาณเตือนภูมิคุ้มกันต่ำ
รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา อ่อนเพลียโดยไม่มีสาเหตุ
เป็นหวัดบ่อย แสบจมูก น้ำมูกไหล
แพ้อาหารบ่อยๆ ท้องเสียง่าย
มีผื่นแพ้ ผิวหนังอักเสบ
เสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวิธีการ #ฝังเข็ม ในทางแพทย์แผนจีน เพราะการฝังเข็มเป็นศาสตร์ที่ช่วยในเรื่องการปรับสมดุลเลือดลม ผ่านการกระตุ้นบริเวณจุดแนวเส้นลมปราณของร่างกาย ช่วยปรับให้หยินหยางสมดุล ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราดียิ่งขึ้น
ประโยชน์ของการฝังเข็ม
ช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือด
ช่วยให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย จิตใจสงบขึ้น
เสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ลดการอักเสบของร่างกาย
ช่วยทำให้การนอนหลับสนิทขึ้น
สำหรับใครที่มีสัญญาณเตือนของอาการภูมิคุ้มกันต่ำ สามารถรักษาด้วยวิธีการฝังเข็ม ซึ่งทำได้ตั้งแต่ก่อนจะเกิดอาการเหล่านี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองไว้ก่อนนะครับ
เมื่อพูดถึงการฝังเข็มโดยแพทย์แผนจีน หลายท่านคงมีคำถามในใจก่อนทำการฝังเข็ม วันนี้คุณหมอจะมาตอบข้อสงสัย 8 ข้อ เกี่ยวกับการฝังเข็มกันครับ
1. การฝังเข็มต้องอายุเท่าไหร่?
ไม่จำกัดอายุในการฝังเข็มครับ สามารถทำได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุเลยครับ หากคนไข้มีโรคประจำตัวสามารถปรึกษาคุณหมอก่อนทำการฝังเข็มได้ครับ
2. ดูแลร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันได้ไหม?
สามารถดูแลร่วมกันได้ครับ เพราะว่าโรคบางชนิดอาจจะต้องดูแลที่ต้นเหตุและปลายเหตุไปด้วยกันครับ เช่น โรคเบาหวาน โรคไต ความดัน เป็นต้น
3. ฉีดยายังเจ็บ แล้วฝังเข็มเจ็บไหม?
เข็มนั้นมีขนาดเล็กหลายเท่ามากเมื่อเทียบกับเข็มฉีดยาทั่วไป มีขนาดเพียงแค่ 0.18-0.40 มิล เท่านั้น แทบไม่รู้สึกเลย ตัดความกังวลใจข้อนี้ได้ครับ
4. ความสะอาด ความปลอดภัย มาตรฐาน?
เข็มฝังปลอดเชื้อ ไม่มีตัวยาและใช้เพียงครั้งเดียวทิ้ง (Sterile Acupuncture Needles for Single Use) และได้รับการรับรองจาก CE และมาตรฐานการันตีจาก ISO ครับ
5. ลดอาการปวดได้ยังไง?
การฝังเข็มจะช่วยกระตุ้นบริเวณที่ปวดให้เลือดและลมปราณไหลเวียนดีขึ้น บำรุงให้ความชุ่มชื้นแก่เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ลดอาการตึง ปวด อักเสบ สลายเลือดที่คั่ง ขับสารพิษสะสมในร่างกายครับ
6. ฝังเข็มแล้วต้องหยุดพักไหม?
ไม่ต้องครับ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังการฝังเข็มเลยครับ เพียงแต่ควรดื่มน้ำอุ่น งดการออกกำลังกายหักโหม และเว้นระยะการอาบน้ำประมาณ 2-4 ชม. ครับ
7. ฝังเข็มแล้วเอาออกไหม?
บางคนอาจจะเข้าใจว่าเป็นการฝังเข็มเข้าไปภายในร่างกาย ที่จริงแล้วการฝังเข็มจะฝังเข็มลงในชั้นกล้ามเนื้อ โดยฝังลงไปลึกประมาณครึ่งนิ้วถึงหนึ่งนิ้วแล้วแต่จุด ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีจึงนำเข็มออก ระหว่างนั้นอาจจะใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าร่วมด้วยทำให้การฝังเข็มมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
8. ระหว่างฝังเข็มรู้สึกอย่างไร?
อาจรู้สึกหน่วงๆตื้อๆบริเวณที่มีเข็มฝังอยู่ รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบๆไปตามเส้นลมปราณซึ่งเป็นปกติไม่มีอันตรายแต่อย่างใดครับ
ทำความรู้จักกับ “กัวซา” ศาสตร์ความงาม เคล็ดลับกระชับใบหน้า สร้างผิวสวยด้วยการกัว!!!
“การกัวซา” เป็นหนึ่งในหัตถการทางการแพทย์แผนจีน โดยการใช้วัสดุที่มีลักษณะขอบมนเรียบ เช่น หยก เขาสัตว์ ไม้ หรือแก้ว นำมาทำเป็นแผ่นกัวซา โดยผ่านการกัวบริเวณผิวหนังตามแนวเส้นลมปราณและจุดฝังเข็ม โดยเป็นศาสตร์แผนจีนที่ใช้ในการดูแลผิวพรรณให้มีสุขภาพดี และกระจ่างใส โดยวิธีทางธรรมชาติ
ประโยชน์ของการกัวซาใบหน้า
กระตุ้นและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวกระจ่างใส
ขับพิษ Detoxผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
ช่วยให้รูขุมขนกระชับ ลดริ้วรอย จุดด่างดำบนใบหน้า
ทำให้ผิวหยืดหยุ่น ยกกระชับ
ผิวสุขภาพดีด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีนได้ด้วยกัวซาใบแบบฉบับของ “เฟิ้งฮวงคลินิก”
ลิ้นบอกสุขภาพได้! การตรวจวินิจฉัยด้วยการดูลักษณะลิ้นและฝ้าบนลิ้น เป็นส่วนสำคัญในการตรวจของแพทย์แผนจีน เพราะเส้นลมปราณของอวัยวะภายในร่างกายล้วนเดินผ่านบริเวณลิ้นกันทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ลิ้นจึงสะท้อนถึงสภาวะภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นการดูลิ้นเปรียบเสมือนกระจกเงาสะท้อนถึงภาวะสมดุลและไม่สมดุล ว่าในร่างกายมีสิ่งใดผิดปกติอย่างไร โดยลักษณะของตัวลิ้นสามารถสะท้อนถึงอวัยวะภายในทั้ง 5 (ปอด หัวใจ ม้าม ตับ ไต) และเมื่ออวัยวะทุกส่วนทำงานสนับสนุนซึ่งกันและกันในสภาวะสมดุล จึงทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่เหมาะสมที่สุดครับ
แพทย์จีนยังต้องพิจารณาลิ้นแต่ละส่วนเพื่อประกอบการวินิจฉัย
สีของลิ้น ควรมีสีแดงเรื่อ
รูปร่างของลิ้น ไม่หนาหรือบางเกินไป เรียบไม่แตก
สารเคลือบลิ้น เคลือบสีขาวบางๆ
ลิ้นสามารถสะท้อนถึงอวัยวะภายในทั้ง 5 ได้ดังนี้
โคนลิ้น
ธาตุน้ำ ระบบปัสสาวะ
บ่งบอกถึงสุขภาพไตและกระเพาะปัสสาวะ สิ่งที่ต้องดูคือสีและคราบ ถ้าโคนลิ้นมีฝ้าหรือคราบสีเหลือง แสดงว่าไตหยินพร่อง ควรดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8-12 แก้ว
ข้างลิ้น
ธาตุไม้ ระบบของตับ
บ่งบอกถึงสุขภาพของตับและถุงน้ำดี หากมีรอยฟันข้างลิ้น มีจุดม่วง แสดงว่าลมปราณ (ชี่) ที่ตับติดขัด เลือดไหลเวียนไม่ดี
กลางลิ้น
ธาตุดิน ระบบย่อยอาหาร
บ่งบอกถึงสุขภาพของม้ามและกระเพาะอาหาร ถ้ามีฝ้าหนาบริเวณกลางลิ้น แสดงว่าระบบย่อยอาหารไม่ดี เกิดความชื้นในร่างกาย รวมถึงปัญหาของระบบขับถ่าย
ส่วนถัดจากปลายลิ้น
ธาตุทอง ระบบหายใจและภูมิคุ้มกัน
บ่งบอกถึงสุขภาพของระบบหายใจและภูมิคุ้มกัน บริเวณแนวโค้งที่อยู่ถัดจากปลายลิ้นเข้ามา หากมีสีออกแดงอาจแสดงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับปอด หากมีสีซีดแสดงถึงระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ปลายลิ้น
ธาตุไฟ ระบบหลอดเลือดหัวใจ
บ่งบอกถึงสุขภาพของหัวใจ ทั้งกายและจิต หากมีสีแดงหรือจุดแดงที่ปลายลิ้น แสดงว่าหัวใจมีความร้อนมาก มีความเครียดต่างๆ
เบลพาลซี่ (Bell’s Pasly) คือ อาการที่เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีก ทำให้ไม่สามารถขยับใบหน้าซีกนั้นได้ เป็นผลมาจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแสดงสีหน้าไม่ทำงาน เป็นอาการที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย
Bell’s Palsy แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
ระยะแรก (ระยะเฉียบพลัน) ตั้งแต่เริ่มเป็นจนถึง 15 วัน
ระยะกลาง (ระยะฟื้นตัว) ตั้งแต่วันที่ 16 จนถึง 6 เดือน
ระยะสุดท้าย (ระยะมีอาการหลงเหลือ) ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
อาการของโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
เมื่อดื่มน้ำจะมีน้ำไหลออกมาจากมุมปาก
ปากเบี้ยว มุมปากตก พูดไม่ชัด
หลับตาได้ไม่สนิท เปลือกตาล่างเปิดออก
ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ
ปวดหู และได้ยินเสียงดังมากผิดปกติ
ชาบริเวณใบหน้าครึ่งซีก
ยักคิ้วไม่ขึ้น ขมวดคิวไม่ได้
แนวทางการดูแลด้วยการฝังเข็ม
การฝังเข็มเป็นวิธีอย่างหนึ่งที่สามารถกระตุ้นการฟื้นตัวเส้นประสาท และกล้ามเนื้อที่เสียหายได้ จึงสามารถนำเอามาดูแลภาวะอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้าได้เช่นกัน
แพทย์จีนจะใช้เข็มเล็กๆ ปักตามจุดบริเวณใบหน้าและแขนขา เพื่อกระตุ้นระบบประสาทและกล้ามเนื้อ กระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนดีขึ้น ส่งผลให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ตามปกติ การรักษาแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30 นาที
การครอบแก้วบริเวณแผ่นหลัง ตามจุดฝังเข็มเส้นลมปราณไท่หยาง เพื่อกระตุ้นการทำงานของเส้นลมปราณให้ไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย รวมถึงขับของเสียจากปัจจัยภายนอกที่กระทบกับร่างกายร่วมด้วย
แนะนำให้ฝังเข็ม 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน มักจะหายเป็นปกติได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุดจึงจะได้ผลดี
นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะมานานต่อเนื่องหลายชั่วโมง/วัน มีปัญหาปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ นิ้วมือชา และอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณอื่นๆ หรือที่เรียกว่า “ออฟฟิศ ซินโดรม”
ทายาก็แล้ว กินยาก็แล้ว ก็ยังไม่หาย งั้นมาลองอีกวิธีที่น่าสนใจอย่าง “ฝังเข็มและครอบแก้ว” กันสักหน่อย!
#ขั้นตอนแรกก่อนทำการฝังเข็ม : แพทย์จีนจะทำการตรวจโดยใช้ศาสตร์การแพทย์แผนจีน ด้วยการสังเกตลักษณะของสีลิ้น ร่วมกับ “การแมะ” (จับชีพจรข้อมือ) ซึ่งจะสามารถบ่งบอกได้ถึงพลังของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายว่าผิดปกติหรือมีปัญหาจุดไหนบ้าง รวมถึงการซักถามประวัติต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สามารถใช้ประกอบกับการรักษาได้ถูกต้อง
#ขั้นตอนที่สอง : แพทย์จีนจะใช้เข็มขนาดเล็กปักลงในจุดต่างๆ ของร่างกาย แล้วกระตุ้นโดยใช้นิ้วมือหมุนปั่น หรือใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เพื่อลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ และคลายกล้ามเนื้อมัดที่เกร็งให้นิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ลมปราณการไหลเวียนของเลือดในร่างกายสมดุลขึ้น
#ขั้นตอนสุดท้าย : หลังจากการฝังเข็มเสร็จ แพทย์จีนจะทำการครอบแก้วประมาณ 7-10 นาที เพื่อช่วยส่งเสริมการฝังเข็ม กระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด และกำจัดของเสีย ขับสารพิษ ปรับสมดุลร่างกาย
การฝังเข็มอาจจะดีขึ้นในครั้งแรก แต่หากอาการที่เป็นมานานเรื้อรัง จำเป็นต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 7-10 ครั้ง เพื่อลดการใช้ยาแผนปัจจุบันด้วยครับ
นอนไม่หลับ ต้องปรับสมดุลร่างกายด้วยศาสตร์แพทย์จีน
ปัญหานอนไม่หลับสามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยทำงานที่จะส่งผลต่อความสมดุลของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สดชื่น ไม่กระปรี้กระเปร่า
มีอาการหลับยาก ใช้เวลาเข้านอนนานเกินกว่า 30 นาที
หลับแล้วตื่นง่าย หรือหลับๆตื่นๆ
ตื่นขึ้นมาแล้วหลับยาก ตื่นกลางดึกมากกว่า 2 ครั้ง
ร้อนคอ เหงื่อออกกลางคืน ฝันบ่อย
ในทางแพทย์จีนอาการนอนไม่หลับนี้เรียกว่า “Shi Mian” เกิดจากการทำงานผิดปกติของหัวใจ ตับ ม้าม ไต พร่อง และหยางตับมากเกินไป ส่งผลให้ระบบอวัยวะต่างๆภายในไม่สมดุล รวมทั้งอารมณ์แปรปรวนง่าย และฮอร์โมนต่างๆไม่สมดุล
แพทย์จีนจะใช้การฝังเข็มปรับสมดุลฮอร์โมนร่างกายบริเวณศีรษะ แขนขา และลำตัวประมาณ 30 นาที ร่วมกับการครอบแก้วบำบัดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยปรับการทำงานของระบบประสาทและอวัยวะต่างๆให้เข้าสู่สภาพปกติ ผ่อนคลายความเครียด เมื่อระบบอวัยวะต่างๆกลับเข้าสู่สมดุล จะสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นครับ
แนะนำการฝังเข็มปรับสมดุลร่างกายต่อเนื่อง 8-10 ครั้ง ร่วมกับการวินิจฉัยของแพทย์จีน แมะชีพจรและตรวจดูลิ้น เพื่อรักษาต้นเหตุของอาการ พร้อมกับในบางเคสสามารถทานตำรับยาจีนเพื่อช่วยส่งเสริมการฝังเข็มด้วยได้ครับ
PCOS คือภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ เป็นลุ่มอาการที่มีความผิดปกติของหลายๆระบบในร่างกาย ทำให้เกิดการตกไข่ที่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่ตกไข่ เกิดเป็นซีสต์หรือถุงน้ำเล็กๆในรังไข่ พบได้บ่อยประมาณร้อยละ 10-20 ในเพศหญิงวัยเจริญพันธุ์
ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบยังไม่มีสาเหตุแน่ชัด อาจเกิดขึ้นจากหลายๆ ปัจจัย แต่พบว่าจะมีการหลั่งฮอร์โมนแอลเอชมากเกิน และมีภาวะอินซูลินในเลือดสูง ส่งผลให้รังไข่สร้างฮอร์โมนต่างๆอย่างไม่ได้สมดุล เกิดภาวะฮอร์โมนเพศชายสูงและไม่มีการตกไข่ ความผิดปกติเหล่านี้ทำให้เกิดอาการแสดงและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
สัญญาณของภาวะ PCOS
หน้ามัน
เป็นสิวเยอะ
ขนดก มีหนวดขึ้น
ประจำเดือนไม่มาหรือมาผิดปกติ
มีบุตรยาก
น้ำหนักขึ้นง่าย บวมน้ำ
ผิวหนังมีปื้นหนาสีน้ำตาล
ในทางแพทย์จีนจะดูแลด้วยการฝังเข็มปรับสมดุลฮอร์โมนร่างกายแบบองค์รวม ร่วมกับครอบแก้วบำบัดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใช้จุดฝังเข็มหลักและจุดเสริมเพื่อช่วยปรับการทำงานของอวัยวะต่างๆให้เข้าสู่สภาพปกติสมดุล กระตุ้นการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
สาวๆสามารถป้องกันได้ด้วยการมีสุขภาพที่ดี รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ ลดเสี่ยงภาวะอ้วน เบาหวาน และควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอครับ