Author Archives: admin

ประโยชน์ของการฝังเข็ม

กลุ่มวัยทำงานที่ต้องทำงานในแต่ละวันอย่างน้อย 8 ชั่วโมง หรือมีพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งอดอาหาร , กินอาหารไม่ตรงเวลา , กินอาหารไม่มีประโยชน์, อยู่หน้าจอทั้งวัน , ขาดการออกำลังกาย ,ขาดการพักผ่อน , เครียด ,ใช้ร่างกายจนเยอะเกินไป ต้องหันมาเรียนรู้วิธีดูแลตัวเอง เพื่อสุขภาพและร่างกายที่แข็งแรงห่างไกลโรคกันนะครับ

การฝังเข็มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายในวัยทำงานให้แข็งแรง มาดูกันว่าสำหรับวัยทำงานการฝังเข็มสามารถดูแลด้านไหนได้บ้างครับ ?

อาการ Office Syndrome การฝังเข็มช่วยลดอาการปวดเกร็งต่างๆที่เกิดจากการอยู่ในท่าเดียวนานๆ เช่น ทำงานหน้าจอคอมฯ ขับรถ ส่วนใหญ่วัยทำงานจะมีอาการปวดคอบ่าไหล่และหลัง การฝังเข็มสามารถช่วยดูแลอาการเหล่านี้ได้ดี

ผ่อนคลายความเครียด วัยทำงานอยู่กับความเครียด การฝังเข็มก็เหมือนการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อและสมองผ่อนคลายได้ ฝังตามจุดลมปราณตับ แถมยังได้นอนหลับระหว่างฝังเข็มไปด้วย

กระชับรูขุมขน การฝังเข็มช่วยให้เลือดลมเดินดี ไม่มีติดขัด ทำให้ใบหน้าที่หมองคล้ำกลับมาผ่องใสได้ ใบหน้ามีเลือดฝาดดูสุขภาพดี เป็นการที่ผิวดีจากข้างในสู่ภายนอก

ลดสิว ฝ้า การฝังเข็มบนใบหน้าหลัก18จุ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด กระตุ้นการแลกเปลี่ยนออกซิเจนของผิวกับเส้นเลือดทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น ปรับสมดุลฮอร์โมน ทำให้สามารถทำให้ลดสิว ฝ้า ลงได้

กระชับสัดส่วน การฝังเข็มสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อให้เผาผลาญไขมันในจุดนั้นๆจึงสามารถลดเฉพาะส่วนได้ และการฝังเข็มมีผลกับสมองส่วนรับรู้เรื่องการหิวให้ทำงานด้อยลง และไปกระตุ้นสมองส่วนรับรู้เรื่องการอิ่มให้มากขึ้น

ลดโอกาสเกิดซีสต์ในมดลูกและเต้านม ปัจจุบันชีวิตประจำวัน ทั้งการแต่งตัว การกิน การนอนของสาวๆเป็นสาเหตุทำให้เกิดซีสต์ขึ้น การฝังเข็มช่วยดูแลซิสต์ได้ เปรียบกับ ท่อน้ำ หากน้ำไหลไม่ดีก็จะมีตะไคร่น้ำเกาะ แต่ถ้าหากน้ำไหลดีมีแรงก็จะไม่เกิดตะไคร่น้ำและจะชะล้างตะไคร่น้ำที่ติดอยู่ออกไป

ดูแลเรื่องประจำเดือนไม่ปกติ การฝังเข็มสามารถลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ รวมถึงสามารถปรับประจำเดือนสำหรับผู้ที่ประจำเดือนมาไม่ปกติได้

ป้องกันโรคกรดไหลย้อน ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน ม้ามควบคุมระบบย่อย ตั้งแต่กระเพาะอาหารจนถึงทวารหนัก หากเราฝังเข็มเพื่อให้ม้ามแข็งแรงแล้ว ระบบย่อยถึงระบบขับถ่ายทั้งระบบก็จะดีขึ้นด้วย

บำรุงร่างกาย ชะลอความเสื่อมของร่างกาย การฝังเข็มเป็นการปรับร่างกายให้สมดุลแบบองค์รวม ไม่เกินไม่ขาด เรียกได้ว่าเป็นการบำรุงดูแลร่างกาย และชะลอความชราได้อีกด้วย

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ด้วยการฝังเข็ม โดยแพทย์แผนจีน (ปริญญา)

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานประมาณ 6-8 ชั่วโมง ส่วนมากพบได้บ่อยในคนวัยทำงาน โดยเกิดจากการที่กล้ามเนื้อทำงานมากเกินไปจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน (Overuse Injury) จนยากแก่การซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้อย่างสมบูรณ์ โดยทางการแพทย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โรค Myofascial Pain Syndrome (กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด) โดยอาการปวดมักจะเรื้อรัง ร่วมกับคลำพบลำกล้ามเนื้อแข็งเป็นแนว (Taut Band) และอาจมีจุดกดเจ็บในลำกล้ามเนื้อนั้นๆ (Trigger Point) ที่ทำให้ปวดร้าวไปยังบริเวณอื่นตามแนวกล้ามเนื้อ

วิธีการฝังเข็มแบบจีน Acupuncture เป็นการฝังแบบทะลวงจุดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของพลังงานชี่ (Qi) ในร่างกาย ทำให้เลือดกลับมาเลี้ยงบริเวณที่เป็นพังผืด ในขณะฝังเข็มมักจะเกิดอาการกระตุกร้าวไปที่ต่างๆ เกิดจากการที่พังผืดขาดออก ทำให้กล้ามเนื้อที่โดนพังผืดรัดไว้ดีดตัวออกทันที ทำให้กล้ามเนื้อกลับมามีความยาวเท่าเดิมก่อนเกิดอาการและกล้ามเนื้อจะปล่อยสารสื่อประสาทออกมาจนหมด ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการล้าจนกว่ากล้ามเนื้อจะสร้างสารสื่อประสาทขึ้นมาใหม่ตามปกติเวลาประมาณ 6-8 ชั่วโมง

เมื่ออาการล้าหายไปกล้ามเนื้อจะเริ่มแข็งแรงขึ้น อาจใช้เวลา 3-5 วัน แต่ในบางรายที่กล้ามเนื้ออ่อนแอมากอาจใช้เวลาที่นานกว่านั้น

ปัจจุบันการใช้เข็มในการดูแลออฟฟิศซินโดรมเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ประกันสุขภาพส่วนใหญ่เริ่มครอบคลุมฝังเข็มมากขึ้นด้วยครับ

สีของผิว หลังครอบแก้ว บอกอะไรได้บ้าง?

เมื่อทำการครอบแก้วเสร็จแล้ว หลายคนอาจสงสัยตรงบริเวณของผิวหนังที่โดนครอบแก้วจะเกิดเป็นรอยจ้ำสีม่วงๆขึ้น ซึ่งความเข้มของรอยจ้ำดังกล่าว สามารถบอกได้ถึงลักษณะอาการปวดตรงบริเวณนั้นๆ ได้ว่าเป็นอย่างไร

โดยยิ่งมีสีที่เข้มมากเท่าไร ก็แสดงได้ว่าบริเวณดังกล่าวมีอาการปวดมากเป็นพิเศษ (รอยจ้ำๆ ของผิวหนังบริเวณที่โดนครอบแก้ว จะเป็นรอยอยู่ประมาณ 3-7 วัน แล้วจะค่อยจางหายไปเอง)

สีของผิวหลังครอบแก้ว บอกอะไรได้บ้าง?

  • ถ้ามีรอยสีชมพูอ่อน แสดงว่า ร่างกายสุขภาพดี เลือดลมไหลเวียนดี
  • ถ้ามีรอยสีแดงอมม่วง แสดงว่า ร่างกายมีความร้อนชื้นสะสม อ่อนล้า ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ถ้ามีรอยสีดำคล้ำ แสดงว่า ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เลือดลมติดขัด หรือเลือดคั่งบริเวณนั้นได้
  • ถ้ามีรอยสีเนื้อขาวซีดอ่อน แสดงว่า เลือดและลมปรานอยู่ในระดับพร่อง พลังในร่างกายน้อยกว่าปกติ
  • ถ้ามีรอยสีแดงมีจุดสีม่วงกระจายอยู่ แสดงว่า พลังชี่ติดขัดหรือมีเลือดคั่งบริเวณนั้น ความเย็นสะสมภายในร่างกาย

หลังการครอบแก้วไม่ควรอาบน้ำทันที ควรรอประมาณ 2-4 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายปรับอุณหภูมิและให้รูขุมขนปิดก่อนนะครับ

เอ็นข้อเข่าอักเสบ ข้อเข่าเสื่อม กับการฝังเข็ม

อาการเอ็นเข่าอักเสบ ปวดบริเวณเข่า มักเป็นด้านใดด้านหนึ่ง เช่นเข่าด้านใน หรือด้านหลังข้อเข่า เป็นหลังออกกำลังกาย วิ่ง เดินขึ้นลงบันได หรือใช้งานหนัก มักเป็นในวัยรุ่นที่เป็นนักกีฬา วัยทำงานขึ้นไป

อาการข้อเข่าเสื่อม มักปวดรอบข้อเข่า เป็นมาเป็นเวลานาน ค่อยๆเป็นมากขึ้น มีเสียงกรอบแกรบเมื่อสัมผัสบริเวณข้อแล้วขยับข้อเข่า เข่าผิดรูป เข่าโก่ง มักเป็นในผู้สูงอายุ

การฝังเข็มในโรคข้อเข่าเสื่อม : ในปัจจุบันมีหลักฐานสนับสนุนจากงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำของโลกว่าการฝังเข็มมีประโยชน์ในการดูแลโรคข้อเข่าเสื่อม ทั้งองค์การอนามัยโลก สมาคมความร่วมมือโรคข้อแห่งยุโรป (EULAR) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกา (NIH)

ตามทฤษฎีแพทย์แผนจีน อธิบายว่าอาการปวดเข่าเกิดจากมีการอุดกั้นของพลังลมปราณ การฝังเข็มจะทำให้ลมปราณหมุนเวียนดีขึ้น ช่วยแก้ไขการอุดกั้นของลมปราณ นอกจากนี้การฝังเข็มยังช่วยปรับสมดุลของร่างกาย และพบว่าการฝังเข็มสามารถลดปวดได้โดยผ่านการหลั่งสารหลายอย่าง โดยพบว่าในเรื่องผลลดปวดมีการหลั่งสารสื่อกระแสประสาท (Neurotransmitters) ที่เกี่ยวข้องกับการลดปวด 6 ชนิด และยังมีการหลั่งสาร Endorphine ด้วย

ยังมีการศึกษาในปัจจุบันพบว่า การฝังเข็มช่วยลดอาการอักเสบ เนื่องจากมีการเพิ่ม Blood Cortisol จึงมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบอีกทั้งยังเพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณที่ฝังเข็มอีกด้วยครับ

ปวดหัวบ่อย จุดที่เท้าไม่ควรมองข้าม

เคยมีอาการแบบนี้บ้างไหมครับ? สมองคิดวนไปวนมาซ้ำๆในเรื่องเดิมๆ ปวดศีรษะ ถอนหายใจบ่อย นอนไม่หลับ หรือหลับได้แต่ฝันเยอะ ปวดแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว

อาการข้างต้นหากมองจากมุมมองของศาสตร์การแพทย์แผนจีนแล้วจะพบว่ามันมีจุดเริ่มต้นมาจาก “อารมณ์ครุ่นคิด” นั่นก็คือ เวลาที่เราคิดเรื่องเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาจนร่างกายเกิดความเครียด (ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) จะทำให้ลมปราณในร่างกายติดขัด โดยเฉพาะลมปราณของตับซึ่งเป็นอวัยวะที่ควบคุมการระบายและไหลเวียนของชี่ เลือดและสารจำเป็นต่างๆในร่างกาย คล้ายๆกับเป็นตำรวจจราจรที่คอยระบายรถที่ติดอยู่ให้เดินทางสะดวก ถ้าร่างกายของเราเมื่อไม่ได้ระบายอารมณ์ที่อึดอัดเหล่านี้ออกมาก็จะทำให้เกิดอาการต่างๆตามมาได้

การฝังเข็ม : จุดฝังเข็มที่ใช้กันบ่อยๆคือตำแหน่งบริเวณง่ามเท้าระหว่างหัวแม่โป้งกับชี้ แต่ลากขึ้นมาสูงพอสมควร สังเกตได้เมื่อเราลองกดด้วยตนเองจะรู้สึกเป็นร่องไม่มีกระดูกกั้น กดแล้วรู้สึกปวดๆครับ

จุดนี้ดีอย่างไร? จุดไท่ชงมีประโยชน์อย่างมาก เพราะตามทฤษฎีแล้วเป็นจุดที่อยู่บนเส้นลมปราณตับ ซึ่งสามารถปักจากตำแหน่งเท้าให้วิ่งขึ้นไปถึงศีรษะได้เลยครับ เพราะฉะนั้นสามารถช่วยเรื่อง ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ความดันโลหิต บำรุงระบบตับ ลดความร้อนในตับ หรือจะช่วยในการนอนหลับก็ได้ครับถ้าต้นเหตุมาจากระบบตับ เป็นต้น

ขับถ่ายดี…ด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน

โรคท้องผูก คือ การขับถ่ายยาก ถ่ายแข็ง ใช้เวลาในการขับถ่ายนาน ไม่สามารถขับถ่ายได้ทุกวัน หรือกระทั่งเป็นอาทิตย์ยังไม่สามารถขับถ่ายได้ มักจะมีอาการร่วมคือ แน่นท้อง ไม่สบายตัว คลื่นไส้

โดยทั่วไปมักเกิดจาก การทานผักผลไม้น้อย ดื่มน้ำไม่พอ ขาดการเคลื่อนไหว (นั่ง นอน มากเกิน) การทานยาบางชนิด โรคบางชนิด เช่น มะเร็งหรือเนื้องอกที่ลำไส้ใหญ่

ตามทัศนะคติแพทย์แผนจีน โรคท้องผูกนั้นเกิดจากในร่างกายมีความร้อน จึงเผาผลาญสารหยินและน้ำหล่อเลี้ยงร่างกาย หยินในร่างกายไม่พอ ลำไส้แห้ง จึงทำให้ขับถ่ายลำบาก จากตำราโบราณมีบันทึกว่า “เติมน้ำทำให้เรือเดินได้” ถ้าในลำไส้มีความชุ่มชื้นมากพอ จะทำให้ขับถ่ายได้คล่อง อุจจาระไม่แห้งแข็ง

เกิดจากหยินในร่างกายน้อยอยู่แล้ว จึงทำให้ถ่ายไม่คล่อง หรือ ลมปราณไม่พอ ไม่มีแรงพลักดัน จะรู้สึกไม่อยากถ่ายเอง หรือ พลังงานลมปราณชี่ไม่พอ ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีแรงเบ่งนั่นเอง (พบมากในผู้สูงอายุ)

การฝังเข็มโรคท้องผูก จะเป็นการนำเอาความร้อนออกจากร่างกาย เพิ่มน้ำไปเลี้ยงที่ลำไส้ เพิ่มลมปราณให้ร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้ลำไส้มีการบีบตัว จึงสามารถขับถ่ายได้ดีขึ้น

แนะนำการฝังเข็มประมาณ 10 ครั้ง เพื่อปรับสมดุลองค์รวมในร่างกาย ร่วมกับเปลี่ยนพฤติกรรมและปฏิบัติตัวให้เหมาะสมครับ

อากาศเปลี่ยนเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฝังเข็ม

โรคภูมิแพ้เกิดจากระบบภูมิค้มกันของร่างกายทำปฏิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ไวผิดปกติ อาการมักเกิดกับอวัยวะที่ไวต่อสารกระตุ้น ซึ่งได้แก่

โพรงจมูก เรียกว่า โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
ดวงตา เรียกว่า โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้
ผิวหนัง เรียกว่า โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

โรคภูมิแพ้อย่างหนึ่งอาจถ่ายทอดจากพันธุกรรมหากร่วมกับการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ปริมาณมากและเป็นเวลานานก็จะแสดงอาการแต่กระนั้นอาการจะลดลงเมื่อลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ หรือเมื่อภูมิคุ้มกันสูงขึ้

อีกวิธีที่นิยมในการดูแลอาการภูมิแพ้ก็คือ “การฝังเข็ม” ซึ่งมีผลการศึกษาทดลองรักษามากมาย ในต่างประเทศตลอดจนในประเทศไทย องค์กรอนามัยโลก หรือ WHO ก็ได้ประกาศรับรองผลด้วยการฝังเข็มมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522

การฝังเข็มจะช่วยลดความไวของปฏิกิริยาร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งหากปฏิกิริยาของร่างกายมีความไวน้อยลงก็จะทำให้อาการภูมิแพ้ลดลงหรือหายไปและทำให้ผู้ป่วยทนต่อสารก่อภูมิแพ้ได้มากขึ้นเนื่องจากไปลดปริมาณไอจีอีแอนติบอดี (IgE Antibody)

แพทย์จีนจะใช้เข็มเล็กๆปักจุดบริเวณรอบจมูกและแขนขา แล้วทำการกระตุ้นประมาณ 20 นาที โดยทั่วไปจะทำการฝังเข็มสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 10 ครั้ง ส่วนใหญ่แล้วเมื่อฝังเข็ม โดยที่ผู้ป่วยจะจาม คัดจมูกน้อยลง บางคนสามารถลดปริมาณยาที่รับประทานลงไปได้

ฉะนั้นหากใช้การฝังเข็มร่วมกับแพทย์แผนปัจจุบันก็จะช่วยลดผลข้างเคียงและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ครับ

กินอย่างไรให้สุขภาพดีตามแพทย์แผนจีน

หลายๆคนคงจะพอทราบกันบ้างแล้วว่า การแพทย์แผนจีนนั้นจะเน้นแนวสุขภาพบำบัดโดยใช้ทฤษฏีความสมดุลของหยินหยางเป็นหลัก คือหลักที่ว่าด้วยการแบ่งทุกอย่างบนจักรวาลออกมาเป็น 5 ธาตุ มนุษย์เราก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ร่างกายมนุษย์จึงแบ่งออกได้เป็น 5 ธาตุ คัมภีร์แพทย์แผนจีนโบราณได้จัดอวัยวะสำคัญๆในร่างกายให้แต่ละธาตุมีสีประจำธาตุแตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • ธาตุไฟ สีประจำธาตุคือ สีแดง
  • ธาตุทอง สีประจำธาตุคือ สีขาว
  • ธาตุน้ำ สีประจำธาตุคือ สีดำ
  • ธาตุไม้ สีประจำธาตุคือ สีเขียว
  • ธาตุดิน สีประจำธาตุคือ สีเหลือง

ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่า หยินหยางคือส่วนประกอบของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล หากต้องการให้หยินหยางในร่างกายมีความสมดุล ก็ต้องสร้างสมดุลให้กับอวัยวะในร่างกาย เกิดเป็นกฎการกินอาหาร 5 สีขึ้น ซึ่งกฎนี้มุ่งเน้นให้คนหันมากินผักผลไม้ให้ได้หลากหลายชนิดมากยิ่งขึ้น เพราะผักผลไม้ 5 สีที่แตกต่างกันออกไป จะให้ประโยชน์ต่างกันไป ผักผลไม้ทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แถมยังช่วยขับให้ผิวพรรณของเรากระจ่างใสขึ้นด้วย ส่วนวิธีการนำกฏการกินอาหาร 5 สี ไปปฏิบัติใช้นั้นก็ไม่มีอะไรยุ่งยากเลย แค่เลือกกินผักผลไม้ให้ครบ 5 สีในแต่ละวันเท่านั้น

1. กินผักผลไม้สีแดง บำรุงธาตุไฟ = บำรุงหัวใจ
การกินอาหาร ผักผลไม้ และธัญพืชที่มีสีแดง ส้ม ชมพู เป็นประจำ ทำให้เลือดไหลเวียนดี หลับสบาย ช่วยบำรุงหัวใจ ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคซึมเศร้า

อาหารสีแดง ส้ม ชมพูที่แนะนำ → เห็นหลินจือ มะเขือเทศ พริกหวานสีแดง สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ แอปเปิ้ลแดง ทับทิม มันเทศ โสมแดง

2. กินผักผลไม้สีขาว บำรุงธาตุทอง = บำรุงปอด
การกินอาหาร ผักผลไม้ และธัญพืชที่มีสีขาวเป็นประจำ ทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย เพราะโดยมากเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของสารประกอบซัลเฟอร์ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

อาหารสีขาวที่แนะนำ → งาขาว ผักกาดขาว ไชเท้า กะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ กระเทียม มันแกว มะพร้าว

3. กินผักผลไม้สีดำ บำรุงธาตุน้ำ = บำรุงไต
การกินอาหาร ผักผลไม้ และธัญพืชที่มีสีดำ น้ำเงิน ม่วง เป็นประจำ จะช่วยชะลอความแก่ ผมดกดำเงางาม ระบบสืบพันธุ์ดี กระดูกและฟันแข็งแรง

อาหารสีดำ น้ำเงิน ม่วงที่แนะนำ → ถั่วดำ งาดำ ลูกเกด สาหร่ายทะเล องุ่นดำ ลูกพรุน กะหล่ำปลีม่วง มะเขือม่วง

4. กินผักผลไม้สีเขียว บำรุงธาตุไม้ = บำรุงตับ
การกินอาหาร ผักผลไม้ และธัญพืชที่มีสีเขียวเข้ม เขียวอ่อน เป็นประจำ ทำให้ลำไส้สะอาด ลดอาการท้องผูก ร่างกายสดชื่น ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ

สีเขียวเข้ม เขียวอ่อนที่แนะนำ → ถั่วลันเตา กะเพรา คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง ผักชี บรอคโคลี กีวี่ แอปเปิ้ลเขียว ฝรั่ง

5. กินผักผลไม้สีเหลือง บำรุงธาตุดิน = บำรุงม้าม
การกินอาหาร ผักผลไม้ และธัญพืชที่มีสีเหลืองเข้ม เหลืองอ่อน เป็นประจำ ทำให้กระเพาะอาหารแข็งแรง ลดอาการท้องเสียง่าย ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

อาหารสีเหลืองเข้ม เหลืองอ่อนที่แนะนำ → ข้าวกล้อง น้ำผึ้ง ข้าวโพด สับปะรด มันเทศ ฟักทอง ขิง ส้ม แครอท มะละกอ

กระชับสัดส่วนโดยการฝังเข็ม

ระบบเผาผลาญ (Metabolic) เป็นระบบที่ทำงานตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายดำเนินชีวิตอยู่ได้ พลังงานที่เหลือใช้ก็จะสะสมในร่างกาย หากมีมากเกินไปก็มีโอกาสที่จะมีไขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้นได้ โดยแต่ละบุคคลมีอัตราการเผาผลาญที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน

ในบางรายแม้จะพยายามลดน้ำหนักก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ ต้องกลับมาคำนึงถึงวิถีชีวิต การเลือกรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม และวิธีในการลดน้ำหนักว่าถูกต้องตามหลักธรรมชาติของร่างกายหรือไม่ อาหารเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการเติบโต พัฒนาการ และการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่หากอาหารที่ทานเข้าไปนั้นไม่มีคุณภาพ คุณค่าทางอาหารต่ำ ไม่เกิดประโยชน์อีกทั้งยังมีโทษต่อร่างกาย มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนได้ง่าย

สาเหตุและกลไกการเกิดโรคตามหลักการแพทย์แผนจีน

  • อายุเพิ่มขึ้นร่างกายอ่อนแอ
  • อาหารไม่สมดุล
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • ทุนก่อนกำเนิด

กลไกการเกิดโรค : พลังงานหยางในร่างกายเสื่อมลง เสมหะชื้นสะสมมากขึ้น ชี่ของม้ามพร่องส่งผลให้การย่อยและดูดซึมสารอาหารแย่ลง สารน้ำต่างๆในร่างกายไม่กระจายออกไป ทำให้คั่งค้างอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย หรือไตหยางพร่อง ไม่มีแรงส่งเลือดไปทั่วร่างกาย เลือดเคลื่อนที่ได้ช้าลง ก่อเกิดเป็นความชื้นสะสม ซึ่งอวัยวะที่เกี่ยวข้องคือ ม้าม ไต หัวใจ ปอด เกิดภาวะไม่สมดุล สะสมไขมันมากเกินไปในส่วนต่างๆของร่างกาย ประสิทธิภาพของระบบเผาผลาญลดลง

ทำไมฝังเข็มช่วยกระตุ้นการเผาพลาญได้ ?

ฝังเข็มมีผลกับสมองส่วนรับรู้เรื่องการหิวให้ทำงานด้อยลง และไปกระตุ้นสมองส่วนรับรู้เรื่องการอิ่มให้มากขึ้น จึงทำให้รู้สึกไม่อยากอาหาร

ฝังเข็มส่งผลต่อสารคัดหลั่งภายในร่างกาย เช่น อินซูลิน ปรับสมดุลการ Metabolism ของไขมันและน้ำตาลให้ดีขึ้น หรือที่เรียกว่า เผาผลาญได้ดีขึ้น

สารคัดหลั่ง, ฮอร์โมนภายในร่างกายผิดปกติเป็นสาเหตุหลักหนึ่งที่ทำให้อ้วนได้ อย่างที่เห็นได้ชัด เช่น ผู้หญิงที่ประจำเดือนไม่ปกติมักมีร่างกายที่อ้วน หรืออย่างผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนก็จะอ้วนง่าย ก็เป็นเพราะสารคัดหลั่งกับฮอร์โมนทำงานผิดปกตินี่เอง

ฝังเข็มทำให้การเคลื่อนไหวของกระเพาะและลำไส้ช้าลง ทั้งยังลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เมื่อมีอาหารอยู่ในกระเพาะลำไส้ ก็จะไม่อยากอาหารบ่อยๆ ช่วยปรับระบบไตทำให้ไม่อ่อนเพลียง่าย

ตามหลักกายวิภาคนั้น เส้นทางลำเลียงส่งของต่างๆ ในร่างกายคนเราคือเส้นเลือด ระบบน้ำเหลือง เส้นประสาท แต่เส้นทางลำเลียงของแพทย์จีนคือ เส้นลมปราณ

คนอ้วนนั้นตรงจุดที่อ้วนเป็นเพราะการลำเลียงไม่ดีพอ ของเสียไปกระจุกตัวอยู่ตรงนั้น การฝังเข็มนั้นจะไปกระตุ้นเส้นลมปราณตรงนั้น เพื่อที่ทำให้การลำเลียงดีขึ้น ระบบขับถ่ายดีขึ้น เลือดลมเดินคล่อง ก็จะพาของเสียออกไปครับ

เอ็นข้อเท้าอักเสบจากการบาดเจ็บ

อาการปวดข้อเท้า คือ ภาวะที่รู้สึกไม่สบายหรือปวดส่วนใดส่วนหนึ่งของข้อเท้า ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุตั้งแต่อาการข้อเท้าเคล็ดธรรมดาไปจนถึงข้อเท้าพลิก และในบางครั้งหากปวดข้อเท้ามากก็อาจทำให้ทิ้งน้ำหนักลงบนข้อเท้าไม่ได้ เดินลำบาก หรือเดินไม่ได้เลย

นอกจากอาการปวดข้อเท้า อาจปรากฏอาการอื่นๆร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์ทันทีหากข้อเท้าได้รับบาดเจ็บ มีอาการบวม แดง หรือมีรอยช้ำ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ ดังต่อไปนี้

  • ปวดข้อเท้ามาก ปวดนาน 2-3 สัปดาห์
  • ข้อเท้าบวมมาก และไม่มีท่าทีจะดีขึ้น
  • ได้ยินเสียงกรอบแกรบพร้อมกับรู้สึกปวดกระดูกข้อต่อ
  • ไม่สามารถขยับข้อเท้าไปด้านหน้าหรือด้านหลังได้
  • ไม่สามารถลงน้ำหนักที่ข้อเท้าได้

การดูแลเส้นเอ็นข้อเท้าในเเพทย์เเผนจีน : พบว่าการฝังเข็มช่วยลดอาการปวด ลดความถี่ของการปวด โดยฝังเข็ม 1-2ครั้ง/สัปดาห์ อาการปวดจะลดลง เหมาะสำหรับปวดแบบฉับพลันและเรื้อรัง ช่วยลดระยะเวลาในการพักฟื้นร่างกายในนักกีฬา ลดการใช้ยาแผนปัจจุบัน

แนะนำการฝังเข็มร่วมกับใช้ยาสมุนไพรจีนและครอบแก้ว ความร้อนจะช่วยคลายกล้ามเนื้อและเอ็นคลายตัวได้ดีมากขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การให้ความร้อนด้วยจิวหรืออินฟาเรดจะช่วยเสริมการรักษาฝังเข็มอีกด้วยครับ